วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ แปลโดยวัลยา วิวัฒน์ศร


ดูเหมือนคนเราจะเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ต่อเมื่อได้เสียมันไปแล้ว

วันที่ยังมีประสาทสัมผัสครบทั้งห้า มือเท้ายังทำงานตามใจสั่ง จับจังหวะ และเคลื่อนไหวได้เร็วเท่าความคิด เราคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ้าในวันรุ่งขึ้น เพียงอะไรสักอย่างในร่างกายไม่ยอมทำงานตามที่มันควรทำ ชีวิตเราจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร มีปัญหาแค่ไหน และเรายังจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ไหม

ก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 1995 ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ คือบรรณาธิการนิตยสาร Elle วัย 43 ปี ที่ใช้ชีวิตปกติ คือ เช้ากินโกโก้ร้อน จูบเมีย ไปทำงาน แก้ปัญหาประสาบรรณาธิการนิตยสาร ตกเย็นก็ไปรับลูกชายจากบ้านแม่ของเขาเพื่อจะไปใช้เวลาวันสุดสัปดาห์ด้วยกัน

แม้อุบัติเหตุเส้นเลือดในสมองแตกในวันนั้นไม่รุนแรงถึงแก่ชีวิต แต่การรอดมาได้ในร่างกายที่กลายเป็นอัมพาตทั้งตัว เหลืออวัยวะที่สั่งให้ขยับได้เพียงอย่างเดียวคือเปลือกตาข้างซ้ายนั้น บางที ตายไปเสียอาจจะี่สบายกว่า

คิดดูเถิด คนที่ยังมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น มีความคิด มีความรู้สึก เจ็บ ร้อน และหนาว แต่พูดไม่ได้ ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ได้ แม้แต่การกลืนกินก็ทำไม่ได้ และแทบจะสื่อสารกับใครไม่ได้เลยนั้น มีชีวิตอยู่อย่างทรมานแค่ไหน

โบบี้ยังมีชีวิต แม้จะถูกจองจำอยู่ในชุดประดาน้ำหนักอึ้ง รัดรึง แต่ความคิดของเขาโบยบินเสรีได้เช่นเดียวกับผีเสื้อตัวน้อย ดังใจความที่เขาเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเขียนขึ้นโดยมีผู้ช่วยที่จะไล่ตัวอักษรตามลำดับที่ใช้มาก-น้อย ในภาษาฝรั่งเศสให้เขาฟัง แล้วเขาจะเลือกด้วยสัญญาณของการกะพริบเปลือกตาซ้าย

ไม่ใช่แค่ไม่ยอมแพ้แก่ชุดประดาน้ำ ผีเสื้อตัวน้อยของโบบี้ยังใช้ความเพียรพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า มากแค่ไหนก็ไม่รู้ เพื่อที่จะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เราฟัง เรื่องราวที่เป็นภาพสะท้อนของความสุข-ทุกข์ ความรัก มิตรภาพ สิ่งล้ำค่าในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง รวมทั้งความทรงจำที่ช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อได้แม้ไม่มีอิสรภาพจะเคลื่อนไหวและสื่อสารกับคนอื่นดังใจ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องเศร้าอย่างที่คิด (คิดมาหลายปี เลยไม่ยอมอ่านเสียที) เพราะในนี้มีแรงบันดาลใจให้ฉันซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิต และยังสั่งให้ร่างกายทำได้ทุกอย่างตามที่คิด อยากใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีค่า อยากลิ้มรส เมื่อลิ้นยังได้รส-สูดดม กลิ่นรอบตัว-กอด เมื่อยังมีโอกาสกอด-ลูบไล้ เพื่อจดจำความรู้สึกจากสัมผัส- ชื่นชมเมื่อตายังมองเห็น และอยากจะคิดดี พูดดี ทำดี กับคนที่ฉันรักเมื่อยังมีโอกาสใช้ชีวิตด้วยกัน (...จริงๆ นะ)

ขอบคุณที่ฉันยังมีชีวิต ขอบคุณที่คุณยังมีชีวิต
เพราะเมื่อยังมีชีวิต เรายังมีโอกาส



บันทึก
• “..เตโอฟีล ลูกชายของผมนั่งเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าผมเพียงห้าสิบเซ็นต์ แล้วผม พ่อของเขา ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเอามือลูบผมดกหนาของเขา สัมผัสต้นคออันอ่อนนุ่ม กอดรัดร่างน้อยๆ อันอบอุ่นและลื่นเรียบของเขาให้แนบแน่น จะให้พูดว่าอย่างไร มันเหี้ยมโหด อยุติธรรม สุดจะทนทาน หรือน่าสะพรึงกลัวกันแน่ ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนด่าวดิ้นสิ้นใจ น้ำตาท่วมท้น มีเสียงดังลั่นอันเกิดจากอาการจุกเสียดเปล่งออกจากลำคอของผมจนเตโอฟีลตัวสั่น อย่ากลัวไปเลยเด็กเอ๋ย พ่อรักเจ้า..” ช่างเป็นวรรคมีชีวิตจิตใจอะไรอย่างนี้
• สำนักพิมพ์ผีเสื้อทำงานประณีตมาก ทั้งรูปเล่ม ความพิถีพิถันในการแปล พิสูจน์อักษร (ไม่มีตัวสะกดผิดเลย) และพิมพ์ เชื่อว่าเชิงอรรถที่ผู้แปลอุตส่าห์จัดทำไว้ท้ายเล่ม ดีไม่ดีจะใช้เวลาพอๆ กับการแปลหนังสือทั้งเล่มด้วยซ้ำ
• ชอบเล่มเล็กๆ จับถนัด สีกระดาษสบายตา font สวน point ใหญ่ อ่านง่าย ทั้งยังไม่มีภาพประกอบรกรุงรังที่จะมาตีกรอบจำกัดจินตนาการคนอ่าน
• แม้ไม่มีอุปสรรคทางร่างกาย ฉันก็เชื่อว่าคนเราทุกคนมีชุดประดาน้ำของตัวเอง แต่ถ้าผีเสื้อของเรายังมีชีวิต ก็จะพาเราโบยบินออกไปจากความหนักอึ้งที่ครอบทับอยู่นี้ได้ อย่ายอมแพ้ง่ายๆ แล้วกัน
• สุดท้ายนี้ไม่ลืมขอบคุนอ้น เจ้าของหนังสือ และเอ๋ คนให้ยืมหนังสือ สองคนนี้กำลังจะได้พบกับอัศจรรย์ของการมีชีวิต (ใหม่) แล้ว


20 ความคิดเห็น:

  1. เคยอ่านเมื่อนานมามากแล้ว
    จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว

    ตอบลบ
  2. อ่านเมื่อนานมากแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นอ่านไปเครียดไป (ไม่รู้ทำไม)

    ตอนนี้ถ้ากลับมาอ่านอีกรอบอาจเป็นอีกอารมณ์นึง

    ตอบลบ
  3. ชอบหนังสือของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ

    ส่วนมากจะเป็นแนว พ่อ ๆ ลูก ๆ

    ตอบลบ
  4. อ่านม่วนๆ

    คนมันจะเกิดก็เกิด
    คนมันจะตายก็ตาย
    ซ่ำนี้หละคนเฮา..ยังบ่ตายอยากเฮ็ดหยังกะเฮ้ดโลดเด้อพี่น้อง

    ตอบลบ
  5. ถ้าอ่านตอนเด็กชั้นคงหดหู่ว่ะ

    ตอบลบ
  6. ....ก็อยากนะ แต่ว่า....

    ตอบลบ
  7. อ่านกี่ครั้งก็รู้สึกว่า "เราโชคดีแค่ไหนแล้ว" ทุกครั้งไป เวลาไร้เรี่ยวแรง หมดกำลังใจ
    หนังสือเล่มนี้เยียวยาเราได้จริง ๆ ค่ะ

    ยิ่งโตยิ่งรู้ว่า ชีวิตมันสั้น ทำอะไรได้วันนี้ต้องเพียรทำตราบเท่าที่มีแรง (ทั้งกาย + ใจ)

    ตอบลบ
  8. ผมซื้อมาดองเอาไว้นานหลายปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้อ่านเลย
    แต่ได้อ่านเรื่องของคุณ บ.ก.คนนี้ในนิตยสาร Writter แล้วเมื่อหลายปีก่อน
    รู้สึกทึ่งมากกับพลังใจที่เขามีอยู่..

    ผมเคยต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดินอยู่นานสองเดือน เมื่อสองปีก่อน
    ช่วงนั้นผมได้รู้คุณค่าของการเดินได้อย่างอิสระ

    ตอนนี้สังขารคนรุ่นพวกเราจะเสื่อมลงเรื่อยๆ
    คิดว่า อยากทำอะไร ต้องรีบๆ ทำแล้วครับ

    ตอบลบ
  9. เคยพยายามอ่านแต่ไม่สำเร็จ ยิ่งกว่ามูราคามิอีก

    ตอบลบ
  10. อ่านเมื่อครั้งเป็นนิสิต อ่านไป ปาดน้ำตาไป แต่ก็เกิดแรงบันดาลใจอยากเป็น บก. แอล

    ตอบลบ
  11. อ่านตอนเรียน .. อ่านแล้วอึ้งดี
    สาเหตุที่อ่านเพราะรู้มาว่า คนเขียนขยับตาได้ข้างเดียว
    เลยอยากรู้ว่า เขาจะเขียนอะไรให้อ่าน
    ...
    แต่เสียดายพ้อนจำอะไรเกียวกับเนื้อเรื่องในหนังสือไม่ได้เลย

    ตอบลบ
  12. ถ้าเทียบสำนวนแปลแล้ว เล่มนี้โคตรจะอ่านง่ายเลยเอ็ง

    ตอบลบ
  13. แกมีความเป็นแกมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยนินะ นังตุ้ม

    ตอบลบ
  14. จริงนะน้องฟ้า แม้แต่ตอนที่เราไม่ได้เป็นบก. Elle อย่างทุกวันเนี้ย (อิอิ)
    แต่เราสามารถเดิน วิ่ง ขึ้นบันได ลิ้นลิ้มรสช็อกโกแลตทรัฟเฟิล จมูกหอมกลิ่นซิงเกิลมอลต์ หูแยกแยะเสียงดนตรี
    แล้วก็สามารถกลินน้ำต่อกันได้ครึ่งขวด ด่าเป็นไฟ แล้วหยิกได้ตรงเป้าในความเร็วแบบสายฟ้าแลบเนี่ย


    มันเป็นอะไรที่เสรีมากๆ แล้วอะ

    ตอบลบ
  15. ต้องดูแลตัวเองด้วยนะพี่

    ตอบลบ
  16. ใช่เลยค่ะพี่ม้อย

    เหมือนกับว่า ถ้าไม่โดนมีดบาดจนต้องพันพลาสเตอร์และทำอะไรไม่ได้อย่างใจ เราก็จะไม่เห็นความสำคัญของนิ้วโป้ง อะไรแบบนั้นเลย

    ตอบลบ
  17. ตอนนี้พี่เห็นความสำคัญของตู้เย็นมากเลยน้องฟ้า
    เพราะว่ามันเพิ่งตัดสินใจจะหยุดการทำงานไปเมื่อเช้านี้เอง
    T T

    ตอบลบ