วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เดียว

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Literature & Fiction
Author:งามพรรณ เวชชาชีวะ

วันก่อนได้ยิน (จริงๆ คืออ่าน) เจ้แอน-แม่ทะเล เม้นท์ว่า ‘เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่’ ไว้ในโน้ตที่ฉันเปรยไว้ว่าจะกลับไปอยู่บ้าน ..ก็ไม่รู้เพราะความเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่หรืออีกเปล่า เจ้ถึงได้ให้ (ด้วยความพิศวาส) หนังสือเล่มนี้กับฉัน (และฉันก็จะให้-ด้วยความพิศวาส-ต่อไปยังน้องรักอีกคน)

นิยายเรื่องนี้อ่านง่าย อ่านลื่น อ่านเพลิน ตามสไตล์ งามพรรณ เวชชาชีวะ ผู้ไม่จำเป็นต้องไซโคคนอ่านด้วยศัพท์ซับซ้อน สำนวนสวิงสวาย วางโครงเรื่องวกวน หวือหวา เพียงเพื่อจะทำให้คนอ่านรับรู้ว่านี่ว่านี่เป็นเรื่องซีเรียสนะจ๊ะ ซีเรียสจริงๆ จ้ะ ..เธอแค่ค่อยๆ เล่าไปเรื่อยๆ ค่อยๆ นำพาเราสู่ความเข้าใจกับเรื่องราวทีละนิด แล้วค่อยไปกดดันเราให้ซีเรียสในจังหวะที่เหมาะ จนในที่สุด เราก็เข้าใกล้ความ ‘เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่’ ไปกับเรื่องราวของเธอได้

“เดียว” เกิดจากการหายไปของน้องเดียว ลูกคนเดียว ที่เป็นดังแก้วตาดวงใจของคนเป็นพ่อแม่ (เรื่องนี้ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะที่บ้านก็มีกันตั้งสามพี่น้อง ลูกของตัวเองก็ยังไม่มีโอกาสจะมี) หายในที่นี้ คือโดนลากตัวขึ้นรถตู้นิรนามที่บึ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาคนเป็นพ่อ..บาดใจกันขนาดนั้น

เรื่องเกิดขึ้นสิบกว่าปีก่อน ยุคที่อินเทอร์เน็ตและมือถือยังไม่แพร่หลายอย่างนี้ อาศัยแค่กำลังติดตามของตำรวจจึงไม่อาจพาเด็กชายกลับมาสู่อ้อมอกของพ่อแม่ได้

ลูกที่เฝ้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จะไปตกระกำลำบากอย่างไร ถูกให้ทำงานที่แย่ สกปรก และเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน จะถูกเขาหักแขนหักขา ควักลูกตาแล้วไปนั่งขอทาน พาไปค้าประเวณี ขนยาเสพติด ไปลักขโมย ฉกชิงวิ่งราว หรือถูกผ่าท้องเอาตับไตมาขาย พ่อแม่ไม่มีทางรู้

ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่คงเหมือนใจจะขาด

ที่จริงข่าวแก๊งค์ลักเด็กเอย ฟอร์เวิร์ดอีเมล์ขอความช่วยเหลือตามเด็กหายเอย ข่าวแบบนี้มีมาเรื่อยๆ จนเราชินหู และคงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรนัก ถ้าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกเต้า หลาน หรือญาติพี่น้องของเรา อ่านจบแล้วฉันเองก็เพิ่งตระหนักนะ ว่า การค้ามนุษย์เป็นปัญหายิ่งใหญ่เหลือเกิน ใหญ่เกินกว่ากำลังของคนเป็นพ่อแม่ ตำรวจ และมูลนิธิช่วยเหลือ

ฉัน ในฐานะเพื่อนร่วมโลกของพ่อ แม่ และลูก ครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย ควรมีบทบาทอย่างไรในยามที่ประสบฉากหนึ่งในกระบวนการค้ามนุษย์ เวลาเห็นเด็กชายตัวผอม หน้าหม่น ผิวกร้าน ใส่ชุดนักเรียนสกปรกมอมแมม ถือกล่องบุบบี้ยืนอยู่ตรงตีนสะพานลงจากสถานีรถไฟฟ้า ปากพร่ำพูดแต่ตาไม่สบกับใคร ร้องขอแค่เงินสนับสนุนการศึกษา เวลาเด็กชายพาน้องสาวตัวเล็กมาขายดอกกุหลาบเหี่ยวๆ ในร้านอาหาร เวลาเห็นผู้หญิงนั่งขอทานอยู่บนพื้น ในตักมีเด็กวัยกำลังกินนมนอนหลับคอพับคออ่อนอยู่

ให้ หรือไม่ให้?
หรือควรจะทำยังไงต่อ?
มีอะไรที่เราช่วยได้มากกว่าส่งฟอร์เวิร์ดอีเมล์ไหม?



บันทึก:
• ข้อมูลที่ทำให้สะเทือนใจมากๆ ที่ได้รู้จากนิยายเรื่องนี้คือ วิธีที่เขาทำให้เด็กๆ ไม่กล้ากลับมาหาพ่อแม่ แม้จะจำได้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน และเบอร์โทรศัพท์เบอร์อะไร
• การผูกเรื่องของนิยายเรื่องนี้ไม่ถึงกับเนียนเป็นเนื้อเดียวแบบถุงน่องเนื้อดีหรอก แต่ฉันว่างามพรรณประณีตมาก เธอวางแผนเขียนได้แยบยล และลุ่มลึก ฉันเชื่อเธอใช้เวลากับมันนานพอดู (อ่านงานแบบนี้แล้วรู้สึกอยากจะขอบคุณนักเขียนนะ)
• ฉันคิดว่า คนอยากจะเป็นนักเขียนนิยาย อย่างน้อยต้องทำได้อย่างนี้ ถ้าได้ไม่ถึงครึ่งของงานแบบนี้ สำนักพิมพ์โปรดอย่าพิมพ์ให้เปลืองกระดาษ สำนักพิมพ์ที่ไม่คัดสรรงานมาแบบสั่วๆ ก็ไม่น่านับถือในสายตานักอ่านอย่างฉัน
• งามพรรณจบได้เจ็บปวดมาก (ผิดคาด)
• ไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทยเขียนใหม่ๆ มากนัก แต่ฉันว่า นิยายอย่าง ‘เดียว’ เนี่ย ไม่เสียเวลาอ่านเลย
• อ่านท่อนท้ายในรถไฟขากลับ เผลอน้ำตาไหลโดยไม่ตั้งตัว หวังว่าจะไม่มีคนสนใจ
• (ถึงมีคนสนใจก็ใช่ว่าฉันจะแคร์นี่นะ)
• สุดท้ายนี้ขอจบด้วยคำขอบคุณเจ้แอน ผู้เมตตา แล้วก็มอบของดีๆ ให้ม้าน้อยมาตลอด






39 ความคิดเห็น:

  1. ตัดสินใจอยู่เหมือนกันว่าจะอ่านดีมั๊ย
    แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าอ่านครับ

    ตอบลบ
  2. ชอบ คุณงามพรรณ เขียนตั้งแต่ความสุขของกะทิ แล้ว
    เพราะเป็นหนังสือไม่กี่เล่มที่ทำให้น้ำตาซึมได้
    แต่เล่มนี้ กลัวอ่านแล้ว นอย อ่ะ

    ตอบลบ
  3. เฮ้ย มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น

    ตอบลบ
  4. กลัวมันเศร้าแบบบีบคั้นครับ
    เลยไม่กล้าอ่าน
    ไม่ค่อยชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการทำร้ายเด็ก

    ขนาดหนังญี่ปุ่นเรื่อง Nobody know ยังทำใจตั้งนานกว่าจะตัดสินใจดู
    สรุปแล้วว่า เรื่องมันโหดร้าย หดหู่มั๊ยครับ

    ตอบลบ
  5. Noboby knows มันมีแง่งามซ่อนอยู่เหมือนกันนะ ลองพลิกดูหรือยัง?

    ตอบลบ
  6. 'อคติ' ทำให้พลาดของดีมาเยอะแล้ว อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวอะนะ

    ตอบลบ
  7. "หัวอกคนเป็นแม่" พูดเหมือนพี่ที่ออฟฟิศเลย .. คือเอาไปเล่าให้เขาฟังน่ะ
    พ้อนอ่านในห้องสมุด TK park อ่านรวดเดียวจบ น้ำตาร่วงเหมือนกัน

    ตอบลบ
  8. คำสารภาพของเจ้แอน

    คือได้หนังสือเล่มนี้มา....แล้วปล่อยให้ตั้งทิ้งไว้นานแล้วเหมือนกัน
    เชื่อว่าคนมีลูก อ่านแล้วคงน้ำตาแตก่อ่ะนะ

    สุดท้าย ก็ไม่กล้าอ่าน ครั้นจะเก็บไว้ก็เสียดายหนังสือดีดี
    เลยส่งต่อให้ม้าน้อย...ไม่ต้องส่งคืนมานะ เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเปิดอ่านอยู่ดี

    ตอบลบ
  9. อ๋าว ตกลงเจ้ไม่ได้อ่าน?

    ตอบลบ
  10. อ่านนิดช่วยคิดแก้ไข
    เค้าจะได้มีแนวร่วมต่อต้านค้านมนุษย์กันเยอะๆ งัย

    ตอบลบ
  11. อือ...ยัง
    (อย่างที่สารภาพไปแล้ว)

    ตอบลบ
  12. ก็เป็นอยู่นะตอนเนี้ยน่ะ

    ตอบลบ
  13. ม้อยเล่าจนชวนให้เราไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านโดยไวเลยนะเนี่ย :)

    พูดถึงเรื่องค้ามนุษย์ ... ยังนึกถึงที่เคยอ่านเจอว่า พวกที่ค้าเด็กเขมร...มันไม่ได้ขนเด็กลงมาโดยรถ แต่ใช้วิธีให้ยาบ้าเด็กแล้วก้ปล่อยเด็กเดินเท้าลงมากรุงเทพ ..แต่เรื่องนี้คงเป็นแค่ส่วนน้อยของความทุกข์ทรมาณที่เกิดขึ้นอ่ะ :(

    ตอบลบ
  14. ส่งไปให้อ่านก่อนมั้ยโม่

    แบบว่ามันอ่านจบง่าย

    ตอบลบ
  15. คือว่า ในเรื่องเค้าก็ไม่เชิงตีแผ่กระบวนการโหดอะไรอย่างนั้นหรอกโม่
    เค้าไม่ได้โฟกัสที่ความโหดร้าย
    แต่โฟกัสที่ความเจ็บปวดของการโดนพรากลูก

    เป็นเรื่องของจิตใจน่ะ

    ตอบลบ
  16. ขอบคุณจ่ะม้อย :D

    ยังไม่เอานะ...เราเพิ่งซื้อหนังสือมาหลายเล่มอ่ะ...ไม่อยากดองหนังสือไว้เยอะ :)

    ตอบลบ
  17. ที่รู้สึกอยากอ่านก็เพราะที่ม้อยพูดเรื่องการเขียนที่ปราณีตและลุ่มลึก...
    เข้าใจเลยที่ม้อยบอกว่า

    " ฉันคิดว่า คนอยากจะเป็นนักเขียนนิยาย อย่างน้อยต้องทำได้อย่างนี้ ถ้าได้ไม่ถึงครึ่งของงานแบบนี้ สำนักพิมพ์โปรดอย่าพิมพ์ให้เปลืองกระดาษ สำนักพิมพ์ที่ไม่คัดสรรงานมาแบบสั่วๆ ก็ไม่น่านับถือในสายตานักอ่านอย่างฉัน"

    ตอบลบ
  18. มันต้องมี standard ประมาณนึงอะโม่

    ถ้ายังไม่คิดว่า "ถึง" ก็ทำหนังสือทำมือไปก่อนดีกว่า

    ตอบลบ
  19. อยู่ที่มาตรฐาน สนพ. ด้วยส่วนนึงล่ะ...
    นักเขียนใหม่ๆถ้าสบช่องก็คงอยากปล่อยแสง :)

    ตอบลบ
  20. ถ้าเด็กเกิดมาเพื่อถูกลักพาตัว???

    ชีวิตเราจะเติบโตมาได้อย่างเหลือเชื่อ

    ทำอย่างไรให้สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้น และมีรอยยิ้มของเด็กๆ ทิ้งไว้บนโลกนี้

    ตอบลบ
  21. เพิ่งได้ฟังนักเขียนท่านนึงพูด
    ท่านว่า บก.จะต้องกล้าติ กล้าวิจารณ์งานของนักเขียน
    อายกันเองก่อน ดีกว่าปล่อยให้นักเขียนอับอายขายหน้าต่อสาธารณะ

    ท่านว่า ท่านเจอบก. หลายคนที่เอาแต่เยินยอ (ไม่กล้าเตะนักเขียน เพราะนักเขียนแบบว่าดังแล้ว)
    บก. แบบนี้ไม่ได้ช่วยขัดเกลางาน ไม่ได้ช่วยสกรีนงานก่อนพิมพ์
    สุดท้าย พองานออกไป ก็ไม่มีคุณภาพ เป็นตราบาปของนักเขียนไปตลอดชีวิต

    พี่ว่า....บก.ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของคนที่จ่ายเงินซื้อหนังสือมาอ่านนะ

    ตอบลบ
  22. กรี๊ดๆๆๆๆๆ

    แล้วตกลงเจ้(ในฐานะนักอ่าน)โทรไปเม้ง บก. (ท่านที่เราก็รู้ว่าใคร) ไหมอะ

    ตอบลบ
  23. โทรไปแล้ว แต่ตอนนี้พี่แกอยู่เมืองนอกอ่ะดิ่

    หรือจะโทรไปเม้ง บก. อีกท่าน (ที่เรารู้ว่าใคร) ดี...ฮึ?

    ตอบลบ
  24. ต๊าย.. ร้ายจริงๆ นักอ่านคนนี้นี่

    ตอบลบ
  25. คนนี้ควรเป็นใครหรอ ฮึ?

    ตอบลบ
  26. ก็เสียตังค์ซื้อนะ มาได้ได้มาฟรีหนิ (แล้วก็จะไม่ซื้ออีกแล้ว...เข็ด)

    ที่จริงคนที่รับผิดชอบก็ต้องเป็นบก.นิตยสารเล่มนั้นแหละ
    บก.บห.เค้าแค่ดูห่าง ๆ นะพีว่า

    ตอบลบ
  27. คิดดูอีกแง่นะเจ้

    คนอ่านปากหยั่งเรา ขี้จับผิดแล้วก็มีรสนิยมในการอ่านเริ่ดหรู มาตรฐานสูงหยั่งเรา
    อาจไม่ใช่ target เค้าก็ด้ายอะ

    ตอบลบ
  28. เพราะงั้น เค้าก็เลยไม่แคร์ว่าจะคัดสรรเรื่องมาถูกจวยพวกเราไหม

    ตอบลบ
  29. แล้ว target เค้าน่ะใคร(เหรอ) ?

    ขายเล่มละ 70 บาทนะ

    (รู้สึกว่านิตยสารอื่นที่ราคาเท่ากันหรือต่ำกว่า มีคุณภาพมากกว่าอ่ะ...แค่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบทางรสนิยมนิดหน่อย)

    ตอบลบ
  30. สู้หนังสือแจกฟรีคุณภาพคับเล่มที่ม้อยทำอยู่ก็ไม่ด้าย

    ฮิ ฮิ

    ตอบลบ
  31. คนอ่านรสนิยมไงไม่ทราบ
    ทราบแต่คนทำ รสนิยมเริ่ด!

    ตอบลบ
  32. รสนิยมใคร รสนิยมมัน

    ตอบลบ
  33. มีอะไรที่เราช่วยได้มากกว่าส่งฟอร์เวิร์ดอีเมล์ไหม?

    ขอบคุณมากค่ะพี่ม้อยส์

    อ่านแล้วทนไม่ไหว ต้องไปซื้อมาอ่าน

    อยากรู้ ข้อมูลที่ทำให้สะเทือนใจมากๆ นั้น

    ตอบลบ
  34. ตามมาจาก pm นั้นอีกที
    ขอเก็บไว้ในลิสท์ "จะอ่าน"

    ตอบลบ
  35. พี่ก็ไม่กล้าอ่านน้องม้อย เพราะจิตอ่อน
    เคยทำเจเจหาย 20 นาที รู้เลยว่านรกจริง ๆ มันเป็นยังไง

    ตอบลบ
  36. เราจะป้องกันได้ไงนะคะพี่แจ๋ว
    เรื่องให้ท่องเบอร์บ้าน ที่อยู่
    ให้เรียนศิลปะป้องกันตัวม้อยว่าเราก็พอทำได้อยู่

    แต่เรื่องที่เค้าจะไซโคลูกหลานเราไม่ให้พยายามหนีกลับมาหาพ่อแม่ล่ะ
    เราจะไปทำอะไรได้

    ตอบลบ
  37. เรื่องคนหายที่อเมริกา น่ากลัวมาก คนบ้า โรคจิตมันเยอะ
    แล้วก็พื้นที่มันกว้างใหญ่ ถ้าได้หายไปแล้ว เปอร์เซ็นต์ที่จะเจอน้อยมาก
    เคยมีเคสที่หายไปหลายปี เด็กมีโอกาสที่จะหลบหนี
    รู้ว่ามีบ้านให้กลับ เด็ก ยังไม่เลือกที่จะกลับบ้าน
    เด็กที่ตกเป็นเหยื่อ ในภาวะนั้น เค้าคงอ่อนแอสุด ๆ
    ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง คงคิดแต่จะเอาชีวิตให้รอดไปวัน ๆ
    อย่างในกรณีผู้หญิงที่โดนพ่อของตัวเองกักขังที่ออสเตรีย
    ทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้บ้านตัวเองแท้ ๆ แม่ก็อยู่ข้างบน
    เพื่อนบ้านก็อยู่ไม่ไกล มีลูกมีเต้าจนโต
    เค้าก็ยังทนอยู่อย่างนั้น (อีตาพ่อมันยังมีเวลามาพักร้อนที่เมืองไทยอีก)
    แล้วยิ่งเหยื่อเป็นเด็กเล็ก ๆ จิตใจยังไม่แข็งพอ คงมืดมน ตีบตันไปหมด
    เวลาพี่กลับเมืองไทย เห็นผู้หญิงแก่ๆ อุ้มเด็กแรกเกิดไม่กี่เดือนมาขอทาน
    ยังอยากจะร้องให้โฮออกมาตรงนั้นเลย
    เพราะเรารู้ว่าเด็กตัวขนาดนั้นเกิดมาเพื่อเป็นเทวดาน้อย ๆ
    มีไว้ให้รักให้ทะนุถนอม
    ไม่ได้มีไว้เป็นตัวประกันให้พวกที่มักง่ายเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน
    นั่งตากแดดตากลมทรมานอย่างนั้น
    เรื่องแก็งค์ขอทานที่เมืองไทย
    พี่ว่าพวกเราไม่ควรให้ทาน
    แถวละแวก ๆ สยาม เวิล์เทรด ไปทีไรก็เจอขอทานทุกที
    ทั้ง ๆ ที่ละแวกนั้น อยู่ใต้จมูกของตำรวจแท้ ๆ
    เขียนอย่างยาว พอคิดเรื่องนี้ทีไร มันเครียดปนเศร้าค่ะน้อง

    ตอบลบ
  38. พี่แจ๋วเขียนชัดดีจริง

    ม้อยก็ไม่ให้นะคะ
    สงสารก็ไม่ให้
    (เคยให้แบ่งอาหาร ขนมที่เราซื้อจะไปกินเองให้ด้วย-รู้สึกเขาไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ อยากได้ตังค์มากกว่า มองไปข้างตัวเขาบางทีก็มีถุงอาหาร ขนูกขนมตั้งอยู่แล้ว อาจเป็นคนก่อนเราให้ หรือเป็นเสบียงของเขา)

    แต่บางทีถ้าเจอดนตรีเปิดหมวก หรือคุณป้าตาบอดเสียงหวานร้องเพลงยุคที่แม่ม้อยฟัง
    คุณลุงเล่นพิณ-เป่าแคนแบบอย่างมันส์
    หนุ่มร้องตาบอดร้องเพลงป๊อป เพลงอกหักโดนใจนี่ อยากให้มากๆ เลยนะคะ

    ตอบลบ