Rating: | ★★★★ |
Category: | Movies |
Genre: | Drama |
เปิด Bambino (2007) แผ่นแรกโดยเดาว่าคงเป็นหนังทำนองเดียวกับ Osen ที่ดูแล้วได้เรียนรู้วัฒนธรรมการกิน ได้รู้พวกเกร็ด เคล็ดลับในการทำอาหาร ซึ่งในกรณี Osen คืออาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ ส่วน Bambino นี่เป็นอาหารอิตาเลียน
จบแผ่นแรกเล่นเอาเกือบเบื่อ พอเข้าแผ่นสองแหละถึงเริ่มสนุก หลังจากพบว่าที่เดาไว้มันไม่ใช่เลย จะเป็นพาสต้าชื่อนี้คืออะไร ใส่อะไรบ้าง เวลาจะต้มพาสต้า หรือผัด เขาทำกันยังไง เรื่องพวกนี้เป็นแค่ประเด็นรองปลีกย่อยหยุมหยิมเท่านั้นเอง ที่ซีรีส์เรื่องนี้ (ซึ่งสร้างขึ้นจากมังงะ) กำลังพูดถึงเป็นอะไรที่เข้มข้นและสะท้อนชีวิต "จริงๆ" กว่านั้นตั้งเยอะ เพราะมันพูดถึง “การเรียนรู้ชีวิตผ่านการทำงาน”
บัน โชโหงะ (Matsumoto Jun) คือเด็กหนุ่มวัย 20 ที่เป็นเหมือนกบบ้ายอ คำยกย่องชื่นชมจากลูกค้าร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ ในท้องถิ่นฟุกุโอกะบ้านเกิดเหมือนลมที่เป่าเข้าไปในตัวของเขาจนพอง พานคิดว่าตัวเองเบิ้มแล้ว จัดเจนแล้ว แน่แล้ว มั่นว่าทำได้ทุกอย่าง --ถ้าเป็นเรื่องรสชาติไม่มีพลาด! ฯลฯ ซึ่งจะว่าไปมีความหลงตนว่าเก่ง คล้าย “เด็กเกรียน” แถวๆ นี้ไม่น้อย
จนถึงวันที่กบตัวนี้ออกจากกะลาเพื่อไปฝึกงานในครัวในช่วงปิดเทอม ณ ร้านรุ่นน้องของเจ้าของร้านซึ่งตัวเองทำงานอยู่ ก้าวแรกใน Trattoria Baccanale ร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังแห่งย่านรปปงหงิ โตเกียว ก็ทำเอาอึ้ง อดีตดาวดวงเด่น เปี่ยมพรสวรรค์จากครัวร้านเล็กๆ ที่รับลูกค้าได้ไม่ถึง 20 คน พอมาเจอร้านที่มีลูกค้าเข้าพร้อมๆ กันทีละหลายสิบ ถึงกับเข่าอ่อน แถมยังได้ประจักษ์ในวันนี้ว่าตัวเองเป็นแค่ “เด็กน้อย” ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็น สมกับชื่อเล่น “Bambino” ที่เชฟใหญ่ตั้งให้
แบมบี้น้อยถูกลดชั้นไปเป็นผู้ช่วย เด็กล้างจาน ถูกตวาด ตะคอกเพราะทำงานไม่เข้าจังหวะเร่งของร้าน เจ็บปวดเพราะไม่เข้าใจว่าคนเก่ง (จากบ้านเกิด) อย่างเขาทำไมถึงมาเน่าที่นี่ จนค่อยๆ เรียนรู้ (ได้ช้ามากนะ) ที่จะจับจังหวะไปกับเขา จนเกิดความลังเลที่จะทิ้งครัวกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อ จนกระทั่งเขาตัดสินใจครั้งใหญ่ คือหยุดเรียน และทิ้งสิ่งที่สำคัญที่สุด คือคนรัก ไว้ที่ฟุกุโอกะ มุ่งหน้าเข้าโตเกียวเพื่อที่จะมาเรียนรู้งานในครัวอย่างเต็มตัว ....เพียงเพื่อที่จะพบกับความผิดหวัง เพราะแม้ Trattoria Baccanale จะต้อนรับเขากลับ แต่งานที่ได้ทำไม่ยักใช่งานหน้าเตาในครัว แต่เป็นการเริ่มต้นตามธรรมเนียมด้วยการทำหน้าตายิ้มแย้ม ต้อนรับการมาเยือนของลูกค้า และคอยบริการให้ลูกค้าได้เติมเต็มทั้งพื้นที่ในกระเพาะและความความรู้สึก ทั้งนี้ก็ด้วยเจตนาจะปลูกฝังความเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าไว้ในตัวของคนทำอาหาร ซึ่งเมื่อถึงวันที่ได้เข้าครัวแล้วก็จะไม่มีโอกาสออกมาโอภาปราศรัยกับลูกค้าอีกเลย
ตลอดเวลาที่เห็นแบมบี้สะบักสะบอม อดหลับอดนอน นั่งโง่ตลอดคืนเพราะไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ บางเรื่อง คนดูก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมเขา ทั้งเรื่องการสลายอีโก้ เรียนรู้ที่จะทำใจกับความผิดหวัง เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่คิด การจัดลำดับความสำคัญของงาน การยอมรับและให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน การเคารพในอัตลักษณ์ รวมถึงความวิริยะอุตสาหะ พยายามของคน การทำความเข้าใจเสียใหม่กับคุณค่าของงานที่ตัวเองกำลังทำ และการจัดสมดุลระหว่าง งาน ชีวิต และความฝัน
จะว่าไปมันเป็นเหมือนการถอดตัวเองออกมาจากองค์ที่เราคิดว่าเราเป็น ลอยขึ้นไปข้างบนเพื่อจะมองลงมาเห็นข้างล่างว่านอกจากตัวเราแล้วยังมีใครอีกบ้างในโลกทั้งบริเวณรอบๆ ตัวเราและไกลออกไป คนอื่นเขาทำอะไรกันอยู่บ้าง เพื่อที่เมื่อเรากลับเข้าสู่ร่างเดิมของเราแล้ว เราจะทำงาน ใช้ชีวิต และมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ต่อไปด้วยความเคารพในความตั้งใจ ความฝัน ความดี รอยแผล และประสบการณ์ชีวิตของคนเหล่านั้น ไม่ใช่ดักดานอยู่แต่ในโลกใบเล็กๆ ตระหนักรู้อยู่แค่ความรู้สึกของตัวเองอย่างที่เคย
ดูเหมือนว่าการตะเกียกตะกายเรียนรู้ชีวิตของเด็กเกรียนสอนอะไรผู้ใหญ่เยอะเหมือนกัน
บันทึก
• เรื่องที่ต้องชมคือ นักแสดงที่ฝึกฝนทักษะของตัวละครในบทบาทที่ตัวเองเล่นมาอย่างชำนิชำนาญ จุนควงกระทะคล่องมาก (โอเค ถึงมันหนักไม่เท่ากระทะจีนก็เหอะนะ) ท่าดูดพาสต้าชิมของบรรดาเชฟเอย ท่วงท่าเลียนแบบหนุ่มอิตาเลียนของหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟเอย (โอเคไม่อาจบอกหรอกว่ามันเหมือนไหม แต่มันดูเนียน ไม่เคอะเขินน่ะ)
• ดูเหมือนจุนได้รับรางวัลนักแสดงนำด้วย แปลกดีที่ฉันไม่ค่อยเห็นด้วย ใน 2 Episode แรก รู้สึกว่าเขาเล่นแข็งไปด้วยซ้ำ หรือที่ตั้งใจให้แข็ง ให้ชัด จะเป็นเพราะซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาจากมังงะ อยากให้ดูแล้วได้อารมณ์แบบอ่านมังงะด้วยหรือเปล่า
• Kitamura Kazuki ในบทหัวหน้าบริกรเจ้าเสน่ห์ก็เป็นอีกคนที่ได้รับรางวัลในบทบาทนักแสดงสมทบ ฉันชอบเขานะ ชอบหน้าตาแบบนี้ (ในความคิดรู้สึกว่าเป็นคนที่หล่อมาก) เขาเก่งที่ทำให้เราเชื่อว่าเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ ไม่ใช่เกย์ และไม่ใช่คนเจ้าชู้ ลามปาม
• ดู Bambino แล้วไม่เห็นเกิดอยากจะบริโภคเมนูพาสต้าขึ้นมาเลย (ยกเว้นตอนเห็นแบมบี้ตักทิรามิสุเข้าปาก) ตอนดู Osen สิ เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด จมูกยังแทบว่าจะได้กลิ่นด้วยซ้ำ ยิ่งตอนที่โอเซนทำสุกียากี้นะ อยากจะโทรไปนัดเพื่อนไปอากิโยชิกันเดี๋ยวนั้นเลย
• อย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกแล้วซีรีส์เรื่องนี้เป็นเหมือนอาหารดีๆ มีประโยชน์ ตลอดทั้งเรื่องไม่มีใครทำร้ายใครเลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าที่แวดล้อมตัวแบมบี้ อาจจะมีโหดใส่บ้าง ดุบ้าง แต่เพราะหวังดีต่อเขาทั้งนั้น แล้วทุกคนก็อดทนเพราะเคารพแบมบี้ ไม่อยากจะไปจี้สอนเหมือนสอนเด็กทารก แต่รอจนแบมบี้เข้าใจเอง คิดได้เอง เห็นแล้วชื่นใจกับสังคมแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก
• ไม่รู้จะมีใครเห็นด้วยหรือเปล่า ไม่ค่อยชอบตอนจบแบบนี้เลย
เราก็ชอบคุณหัวหน้าบริกร ถึงแม้บางทีจะมาดขยิบตาข้างเดียวบ่อยไปหน่อย
ตอบลบเราว่าเขามีเสน่ห์มาก
บางทีคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจเรา
ตอบลบจริงๆ แล้วเป็นตัวเราเองที่ไม่เข้าใจคนอื่น
ดูจบแล้ว ชอบ..เหมือนดูการ์ตูนต่อสู้เลย
ตอบลบขอบคุณมูนจังและม้อยที่ส่งมาให้ดูนะ
เราชอบมากเพราะรู้สึกว่าตัวละคร (และเรื่องราว) สอนให้เรารู้จักรับผิดชอบต่อความฝันและรับผิดชอบต่องาน(ที่อยู่ตรงหน้าแต่ไม่ได้ฝันใฝ่ถึง) รวมทั้งต่อบุคคลแวดล้อมอื่นๆด้วย
ตอนจุนต้องไปเป็นบริกร เรานึกถึงตัวเองตอนอยู่คิโนะฯ แล้วนายญี่ปุ่นบอกไว้ว่า Buyer ที่นี่ต้องอยู่หน้าร้านจะได้รู้จักว่าลูกค้าเราเป็นใครและอ่านหนังสืออะไรเลย ...ยิ่งดูยิ่งรู้สึกอินและเหมือนโดนตอกใส่หน้า(บ้าง)อยู่หลายๆที :)
ปอลิง----ชอบคุณหัวหน้าบริกรเหมือนกัน จำหน้าได้แม่นตั้งแต่ตอนเล่น Tiger& Dragon มาจน Galileo --หน้าเฮียแกหล่อเหมือนในการ์ตูนตาหวานที่ชอบอ่านเลย อิอิ
อยากกินพาสต้าไหมโม่
ตอบลบเราอยากกินหอยแมงพู่อ่ะ
ไม่อยากกินหอยแต่อยากกินกุ้งอ่ะดิ่ม้อยดี้ (ผ่ากุ้งให้ดูบ่อยเหลือเกิน)
ตอบลบฮิๆๆ ตอนดู พี่เหม่งกะเราสั่งสปาเก็ตตี้จากพิซซ่าคัมพานีมากินเลยล่ะ (จำใจต้องกินยี่ห้อนี้ เพราะขี้เกียจออกไปร้านอาหารอิตาเลียนอ่า)
เราไม่ชอบแบบที่ราดซอสมะเขือเทศ แต่พอเห็นจุนทำก็เลยสั่งเมนูกุ้งโรเซ่มากินซะเลย แก้ขัดๆ :D
อยากกินคาร์โบนาราอร่อยๆๆๆๆๆๆ
ตอบลบ(ไม่เห็นเมนูนี้เลยเนอะ)
เฮ้ออออ อยากกินเหมือนกานนนนน หิวๆๆๆ
ตอบลบ