วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวตลาดน้ำท่าคา



และปลาหมอจากบ่อกุ้ง (หรือบ่อปลา อะไรสักอย่าง สรุปว่าเป็นปลาที่เจ้าของบ่อไม่ต้องการ ต้องจับกินหรือทิ้งอยู่แล้ว) ซึ่งฉันหมายตาไว้ แต่ไม่กลับมาไม่ทันแม่ค้าเก็บของกลับบ้าน




เสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2553
วันคริสต์มาส ฉันติดตามน้องๆ ไปวัดที่ท่าคา อัมพวา สมุทรสงคราม

ก่อนถึงเวลานัด เราแวะไปหาของกินที่ตลาดน้ำท่าคากันก่อน
กล้องไม่ได้เอาไป มือแต่มือถือ ถ่ายรูปด้วย vignett application มาในโหมดขาว-ดำ Ilford (ซึ่ง โคตรจะคมชัดเลย-อยากใช้ Samsung Galaxi ตัวที่แพงๆ อะ)


วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พี่น้องรักกัน



มานี่ทำหน้าละเหี่ยมาก

จันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553

รับมานี่มาเป็นน้องหมาน่อยครบเดือนแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แมวทั้งสองตัวเหมือนผ่านอะไรมาเย๊อะ
ตอนน้องมาใหม่ๆ ยังใส่เฝือก พี่ก็ต้องใส่ลำโพงหลังทายา่ที่หู ต่างคนต่างขู่ใส่กันฟอดๆ
ค่อยๆ เริ่มยอมให้อีกฝ่ายดม ยอมเล่นกันแบบเล่นๆ ไม่กัดจริง

จนในที่สุด ก็เลิฟเลิฟกันขนาดนี้แล้ว

ขั้นต่อไปเราคงได้เห็นภาพแมวสองตัวนอนขดกลม กอดกันแก้หนาวอะนะ
(ถ้ายังจะหนาวต่อไปอีกหลายวัน)

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Aoi Tori : The Blue Bird

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



Aoi Tori หรือนกสีฟ้า (2008) เป็นหนังเล็กๆ เรียบๆ แต่พูดถึงเรื่องยิ่งใหญ่ คือการสอนเด็กให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างกล้าหาญ และสง่างาม

“การลืมนั่น ขี้ขลาดนะ”
มูริอูจิเซนเซ (Hiroshi Abe) ผู้เข้าสอนแทนครูประจำชั้น ม. 2/1 ซึ่งถูกพักงานหลังจากมีนักเรียนในห้องคนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตายเพราะถูกเพื่อนแกล้ง พูดกับนักเรียนทั้งชั้นในครั้งแรกหลังจากกวาดตาไปทั่วชั้นแล้วหาโต๊ะที่ควรเป็นของเด็กเจ้าปัญหาคนนั้นไม่พบ

เซนเซ หรือครูคนนี้ก็เป็นอีกคนที่มีปัญหา
“เซนเซเป็นคนพูดตะกุกตะกัก ไม่สามารถพูดแบบปกติได้” เขายอมรับ “แต่เซนเซก็ตั้งใจพูด พวกเธอก็ควรตั้งใจฟัง แต่เพราะว่าพวกเธอทำไม่ได้ เซนเซถึงได้มาสอนที่นี่”

ปัญหาที่เกิดกับ โนะงูจิ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องสามัญเพียงแค่ในโรงเรียนในญี่ปุ่น แต่เป็นในโรงเรียนทั่วโลก ที่มีเด็กวัยเดียวกันมาอยู่รวมกัน สังคมกัน มีการจัดกลุ่ม ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มใหญ่ จากนั้นใครคนหนึ่งจะถูกอุปโลกให้เป็นหัวโจก แล้วก็ต้องมีใครสักคนเป็นอย่างน้อยที่ถูกแกล้ง

ไม่ใช่การใช้กำลังหรือขมขู่ เพื่อนๆ ในห้องแค่แกล้งให้โนะงูจินำของจากบ้านที่เป็นร้านสะดวกซื้อมาให้ แล้วเพื่อนทั้งห้องก็แค่หัวเราะใส่เพราะขำ โดยที่เจ้าตัวคนถูกแกล้งก็ได้แต่หัวเราะรับโดยที่ไม่เห็นขำด้วย

แต่สำหรับเด็กคนนั้น นั่นก็รุนแรงพอจะบีบจิตใจจนทำให้เขาคิดฆ่าตัวตายแล้ว

โชคดีที่เขาไม่ประสพความสำเร็จในการพยายามตาย พ่อแม่จึงปิดร้าน ย้ายเขาไปเรียนที่อื่น เพื่อนร่วมชั้นหลายคน ทั้งที่รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังไม่ยอมรับว่าแค่หัวเราะใส่ และไม่ช่วยเหลือ นั่นเป็นการแกล้งเพื่อนแล้ว โรงเรียนเองไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้มากไปกว่าพยายามแสดงความสำนึกผิดหมู่โดยให้นักเรียนทั้งชั้นเขียนเรียงความสำนึกผิด เขียนซ้ำๆ จนกว่าจะได้ใจความที่กินใจ ว่ารู้สึกผิด สำนึกแล้ว ขอโทษ และ “ลืมมันซะ พวกเธอยังมีการสอบที่สำคัญรออยู่”

กล่อง “นกสีฟ้า” ถูกนำมาตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์นั้น เพื่อรับข้อความจากคนที่มีอะไรอัดอั้นตันใจ บอกใครไม่ได้ โรงเรียนฝันไว้สวยๆ ว่าทุกอาทิตย์จะมีการรวมกลุ่มกันเปิดกล่อง อ่านข้อความในกล่อง แล้วก็รับรู้ร่วมกัน ทีนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไรของนักเรียนที่หลุดรอดสายตาของโรงเรียนอีกต่อไป ...แต่จนแล้วจนรอดกล่องนกสีฟ้าก็ไม่มีข้อความอะไรเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากคำถามว่า “นกสีฟ้าคืออะไร”

ไม่ใช่กล่องนกสีฟ้าหรอก ที่ช่วยเปิดใจ แล้วเข้าไปสะสางเรื่องในใจของนักเรียนห้องนี้ แต่เป็นครูชั่วคราวที่มีปัญหาในการพูด แต่ตั้งใจที่จะฟังพวกเขา แล้วก็อธิบายว่าทำไมการ “ลืม” จึงเป็นหนทางหนีปัญหาแบบคนตาขาว ส่วนคนที่ “จำ” ไว้เสมอจึงเป็นคนกล้าหาญ



บันทึก :
• ภูมิใจนำเสนอ อาเบะ ฮิโรชิ นักแสดงชาย (ญี่ปุ่น) ในดวงใจในเวลานี้
• ดูแล้วก็อดย้อนนึกถึงเรื่องในโรงเรียนของตัวเองไม่ได้นะ
• เพลงเปิดและปิดเรื่องเพราะอีกตามเคย เนื้อร้องก็ดี๊ดี รู้เพราะดีวีดีแผ่นนี้มีซับเนื้อเพลงด้วยน่ะซี
• น่าคิดนะ ว่าเรื่องไม่ดีที่เราพลาดมาในอดีต เราควรเลือก “ลืม” หรือ “จำ”

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ยั่วน้ำลายคนไดเอ็ต






ขึ้นไป Blue Sky Bar & Dining บนดาดฟ้าชั้น 24 โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์ กรุงเทพฯ มาเมื่อวาน (โปรดทราบว่าคือโรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว)

พบว่าภายใต้การอำนวยการของเชฟฌอง คลอด พิชอน เขานำเสนออาหารหน้าตาดี รสชาติใช้ได้เชียวแหละ

ใช้มือถือถ่ายรูปพวกนี้ไว้เป็น reference เลยเอามาให้คนไดเอ็ตร่วมชิมทางสายตา
อิ อิ

ป.ล. ห้องเวียดนาม เลอ ดาลัด ของเขาเพิ่งรีโนเวทเสร็จ จะขายในราคาลด 50% ถึงวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคมนี้ ใครสนใจโทรไปสอบถามและจองโต๊ะที่ โทร. 0 2541 1234

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

I've Been Married To Hell! : Erai Tokoro ni Tosuide Shimatta!

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama

ก็พอเข้าใจอยู่ว่าแม่รักและเป็นห่วงลูก โดยเฉพาะถ้าเป็นลูกชายที่ไม่ค่อยฉลาดนักของครอบครัวที่มีอันจะกินหน่อย จะให้แม่นอนใจ ไม่สน ไม่แคร์ว่าลูกจะไปรัก ไปดองกับสาวคนไหนได้อย่างไร ก็เขาอุตส่าห์ฟูมฟักเลี้ยงดูของเขามา

ฉันเชื่อว่าในซีรีส์ Erai Tokoro ni Tosuide Shimatta!(2007) คิมิโกะ (Nakama Yukie) เองก็เข้าใจดีว่าแม่รักลูก แต่ที่เธอไม่เข้าใจน่าจะเป็นประเด็นที่ว่า แล้วทำไมคุณแม่ผัว (Matsuzaka Keiko) ถึงต้องมายุ่งกับชีวิตของเธอขนาดดดดดดดนี้

คิมิโกะนักเขียนอิสระกับอิโซะจิโร่ (Tanihara Shosuke) หนุ่มพนักงานบริษัท พบกัน คบกัน ตัดสินใจแต่งงาน แล้วย้ายมาอยู่ร่วมกันในโตเกียว ในคอนโดหรูที่เป็นตึกสูงริมทะเลย่านโอไดบะ ซึ่งก็ออกจะเป็นที่อยู่ที่ต้องใช้ทุนทรัพย์มิใช่น้อย แต่คิมิโกะก็ไม่ยั่น เมื่อเธอฝันจะอยู่ตรงนั้น เธอก็ต้องทำให้ได้ แม้จะต้องเขียนกี่แสนหรือกี่ล้านคำก็ตาม (ค่าเรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเป็นคำจ้ะ)

ทั้งสองคนไม่ใช่พวกไฮโซหัวสูง ที่คบกันได้เพราะเข้ากันได้ดี จากการที่ต่างก็เป็นคนสบายๆ ไม่มีระเบียบ ไม่มีธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่แต่งงาน คิมิโกะทำแต่งาน ไม่เคยทำอาหารให้สามีกิน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอิโซจิโร่เวลาอยู่นอกบ้านก็ดูเป็นคนสบายๆ กินง่ายอยู่ง่าย และดูจะพอใจกับอาหารกล่อง อาหารสำเร็จรูป ที่หาง่ายๆ และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเมืองอยู่แล้ว

จนกระทั่งได้รับโทรศัพท์จากบ้านสามี ให้ทั้งคู่กลับไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าสาว เพียงเห็นกำแพงหินล้อมบ้านหลังใหญ่สุดอลัง สามีของเธอเปลี่ยนสู่โหมดเรียบร้อย สุภาพ สุขุม และโค้ง แค่นั้นคิมิโกะก็หนาว เพราะตระหนักว่าหนุ่มหน้าซื่อที่เธอแต่งด้วย ที่แท้คือทายาทเศรษฐีผู้ดีของย่านนั้น

ปัญหาของคิมิโกะไม่ได้อยู่ที่การถูกแม่ผัวเขม่นและคอยจับผิด แต่เป็นเพราะว่าแม่ผัวชอบเธอเอามากๆ ด้วยความที่ครอบครัวยามาโมโตะเป็นสมาชิกของเมืองนั้นมาหลายชั่วคน มีประเพณีวัฒนธรรมที่ต้องรักษาสืบทอดกันไปไม่ให้ตกหล่น แม่ผัวผู้แสนงามและอ่อนหวานจึงพยายามเคี่ยวเข็ญลูกสะใภ้ผู้ห่างไกลความเป็นกุลสตรีให้ได้เรียนรู้ธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัว และของคนในเมืองนั้นอย่างเคร่งครัดตามประเพณี เป็นลูกสะใภ้ที่ดี เชิดหน้าชูตาแก่ครอบครัวยามาโมโตะต่อไป ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวสนุกสนานหรรษาเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูเป็นระยะ

แม้ว่าดูแล้วจะอดเครียดกับชีวิตลูกสะใภ้ขึ้นมาไม่ได้ก็ตาม



บันทึก:
• ซีรีส์เรื่องนี้มีชื่อภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า Erai Tokoro ni Tosuide Shimatta!
• คนญี่ปุ่นเขาก็ช่างแต่งกันได้โดยไม่ต้องไปเสนอหน้าที่บ้านพ่อแม่อีกฝ่ายก่อนเนอะ
• เป็นเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ที่น่ารักดีนะ ถ้าฉันเป็นคิมิโกะ ถ้าบ้านสามีรัก และต้อนรับบอย่างอบอุ่นแบบนี้ วันนึงก็คงอยากย้ายไปอยู่บ้านสามีถาวรเหมือนกัน
• ดูแล้วได้ศึกษาศิลปะในการอยู่กับสามีนิดหน่อย กับศิลปะในการอยู่ร่วมกับครอบครัวสามีอีกนิดหน่อย
• เห็นธรรมเนียมแปลกๆ ในซีรีส์เรื่องนี้แล้วอย่าไปคิดเป็นตุเป็นตะเลยว่าญี่ปุ่นทั้งญี่ปุ่นเขาจะเป็นแบบนี้ นี่เป็นเรื่องแต่ง ธรรมเนียมประเพณีในเรื่องก็อาจจะเพี้ยนบ้างอะไรบ้าง อย่าถือสา
• เพลง End Title เพราะอีกแล้ว



วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Shiawase no Kaori : รสชาติแห่งความสุข

Rating:★★★★
Category:Movies
Genre: Drama



เชฟเก่งๆ ของร้านดังๆ เขาพยายามทำกับข้าวให้อร่อยเพราะอะไร เพื่อใครกันนะ?
เพื่อตัวเอง เพราะอีโก้สั่งให้รักษามาตรฐานความอร่อยของตัวเองไว้ อย่าให้ตก
หรือเพื่อคนอื่น?

“หวางซัง” หรือเชฟหวาง (Tatsuya Fuji) ใน Shiawase no Kaori (2008) ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ใจความว่า Flavor of Happiness ไม่ได้มีอีโก้แบบนั้น เขาปฏิเสธเทียบเชิญให้ขึ้นห้างดัง และยืนยันจะทำอาหารขายในร้านเล็กๆ ซอมซ่อของตัวเองต่อไปด้วยเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

เพียงเพราะเขาอยากเห็นหน้าตาคนกินเวลามีความสุข เมื่อได้กินอาหารของเขา เท่านั้นเอง

รสชาติอาหารที่ปรุงอย่างตั้งใจ ใส่ใจ แม้เป็นอาหารกลางวันง่ายๆ ราคาไม่แพงนั้น อร่อยกินใจทาคาโกะ (Miki Nakatani) จากบทบาทที่ควรเป็นคนมาจูงใจให้เชฟหวางยอมขึ้นห้าง ไปเรียกกำไรมหาศาลให้บริษัทของเธอ มากินอาหารของเขานานวันเข้า เธอกลับอาสา สมัครเป็นศิษย์รับสืบทอดวิชาการปรุงอาหารจากเชฟเมื่อเชฟล้ม และกลายเป็นอัมพฤกษ์ ยกกระทะไม่ไหวอีกต่อไป

ทาคาโกะทิ้งงานมาถือปังตอ มาจับกระทะ เพราะเธอมีเหตุผลบางอย่างของเธอ เป็นเหตุผลเล็กๆ แต่ก็กินใจมนุษย์ปุถุชนที่แสนเหงาและแสนคิดถึงใครบางคนอย่างเราๆ

ระหว่างที่ทาคาโกะเรียนรู้ คนดูก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากที่รู้อยู่แล้ว ว่าความสุขของคนได้กินอาหารอร่อยๆ เป็นอย่างไร ฉันได้เห็นขั้นตอนการเตรียมอาหารจีน การหั่น การสับ การใช้ไฟ เทคนิคการใช้กระทะ และที่สำคัญ ฉันเหมือนได้สัมผัสถึงความสุขของคนทำอาหาร

แล้วก็อยากจะออกไปกินอาหารอร่อยๆ ที่คนทำตั้งใจทำให้เรากินอย่างมีความสุขขึ้นมาทันที
(มีที่ไหนจะแนะนำช่วยบอกด้วยนะ)




บันทึก:
• เพลงประกอบหนังเรื่องนี้เพราะมาก เพลง End Title ก็เพราะ นักร้องเสียงดีจริงๆ
• นักแสดงนำทั้งสองถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีจริงๆ
• สำหรับมิกิจังนั้น ฉันอยากตบมือให้ด้วยซ้ำ ค่าที่เธอเป็นนางเอกญี่ปุ่นชั้นนำ ที่ไม่ติดกับบทนางเอ๊กนางเอกเลย (จำ Kiraware Matsuko no isshô หรือ Memmory of Matsuko ได้ไหม?) เรื่องนี้เธอทั้งผอม ทั้งโทรม ไม่สวย ไม่อะไรทั้งสิ้น แต่เธอสง่านะ ท่าทางและแววตาตั้งอกตั้งใจเวลาตั้งใจทำอาหาร
• ดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่ใช่แค่ต่อมน้ำลายแตกอย่างเดียว แต่มันทำให้ฉันอยากเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้มีรสชาติแห่งความสุขบ้างบ้าง (ว่าแต่ใครล่ะ จะมาทำหน้าตามีความสุขเมื่อได้กินอาหารของฉัน)
• นอกจากนี้ยังทำให้ฉันตั้งใจว่า ต่อไปถ้าเลี่ยงได้ จะไม่กินอาหารจากคนที่สักแต่ทำๆ มาขายให้เรากินอีกแล้ว