เนื่องจากดิฉันเป็นคนจัดได้ว่ามีพรสวรรค์ในการวิตกกังวล
สามารถวิตกกังวลได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เดือนนี้เมนส์จะมาช้ากี่วัน กลัวฟันผุ กลัวเป็นมะเร็ง ไปจนถึงกลัวอาวุธชีวภาพ (เวลาขึ้นรถไฟใต้ดิน) โลกร้อน และโฟมที่จะอยู่ไปจนรุ่นหลานของลูก
ด้วยเหตุนี้ กว่าจะตัดสินใจทำไรใหญ่โต (ในความคิดของตัวเองได้) ก็ต้องใช้เวลา กำลังใจ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยกันหนุนให้ลงมือปฏิบัติเสียที
หนังเรื่องใหม่ของพระเอกในดวงใจเข้ามานานหลายอาทิตย์แล้ว แต่ก็มีเหตุให้ไม่ว่างพอจะมีอารมณ์วิ่งจู๊ดไปดูเสียที กอปรกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นวัตร คือการบริจาคโลหิตทุก 6 เดือน ซึ่งครบกำหนดมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่มาถูกหมอบู๋ทัดทานเอาไว้ด้วยการให้ยาแอนตี้ไบโอติกนานเป็นชาติ มาได้จังหวะหมดกรรมหมดเวรเอาช่วงอาทิตย์นี้ พอดีกัน
ไหนๆ จะไปดูหนังที่ลิโด้ (หนังรอบเช้าเสาร์อาทิตย์แค่ 80 บาทจ้ะ) ก็ไปต่อศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เสร็จแล้วก็ไปต่อที่คณะทันตะฯ จุฬา ตรวจอาการตุบๆ ตื้ดๆ ที่ประสาทฟันทั้งๆ ที่ไม่มีรอยผุตรงไหน ซึ่งทำให้เครียดมานานว่ามันเป็นไรของมัน (วะ) ให้เสร็จๆ ไปเสียทีดีไหม
โปรแกรมวันนี้ก็เลยแสนจะแน่น ที่สำคัญคือเครียด แต่ก็ทำให้ได้รู้อะไรดีๆ ดังต่อไปนี้
1. the Kingdom เป็นหนังแอ็กชั่นที่สนุกมาก บทดี CG ดี โดยเฉพาะฉากรถชนกลิ้งแปดตลบบนถนน และจบดี จริงๆ ก็ชอบดูเจมี่ทุกซีน แต่ชอบการแสดงในฉากจบเรื่องที่สุด จบแบบนั้นบอกอะไรหลายๆ อย่างที่ sentimental และคลาสซี่ในความรู้สึก เป็นหนังอีกเรื่องที่ไมเคิล มานน์ มีส่วนมากมาย (แกเป็นโปรดิวเซอร์) ดูก็รู้ แต่แม้ไม่ค่อยปลื้มกับมุมกล้องแฮนด์เฮล (ป้าดูแล้วปวดเศียร) ก็ยังอยากบอกแกว่ายังชอบที่จะดูหนังของแกอีกต่อไป โดยยังไม่มีวี่แววจะเบื่อแต่อย่างไร (ไม่แน่ใจว่าเจมี่จะคิดเหมือนกันไหมอ่ะนะ)-ขอบคุณตัวเองที่พาตัวเองไปดูเสียทีว่ะ
2. กับข้าวที่โรงอาหารคณะทันตะฯ จุฬา ถูกและอร่อย วันหลังเราไปกินแหนมเนืองกันหลังหนังรอบเช้านะคะป้าอ้อยขา-ขอบคุณพี่ผึ้งที่ชี้ทาง
3. วันนี้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติคนน้อยมาก พยาบาลเหงากันจะแย่ แต่เลือดก็ยังไม่พอใช้ (สงสัยเค้าแห่กันไปโรงพยาบาลศิริราชหมด) ดังนั้น ถ้าใครสุขภาพพร้อม เวลามี แวะๆ ไปบริจาคโลหิตกันหน่อยนะตัวเอง
4. ผิดกับที่กาชาด เพราะที่คลินิกนอกเวลาคณะทันตะฯ จุฬา คนบานตะไท นั่งรอด้วยใจตุ๊มต่อมๆ อยู่นานมาก จะวาย (คือว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตนก็มีหมอฟันกับตุ๊กแกนี่แหละที่กลัว ถึงแม้ทั้งสองสิ่งจะทำให้ออกอาการต่างกันไปคนละทิศทาง) ในที่สุดก็ได้ตรวจ ไม่มีฟันผุเหมือนกัน (ฮ่าฮ่า) แถมหมอยังชมว่าฟันสะอาดดี มีสึกนิดหน่อย ไม่รุนแรง เข้าใจว่าสึกจากการบดเคี้ยวนะ พอเล่าอาการว่ามาตรวจว่ามีฟันผุไหม แล้วก็มีอาการตื๊ดๆ แต่วๆ บางทีก็บึ๋งๆ เป็นบางโอกาสที่ประสาทฟัน ไม่ใช่ตัวฟันแบบคนฟันผุ (อันที่จริงฟันผุจะปวดไงก็ไม่รู้หรอก เพราะยังไม่เคยผุจนปวด) หมอก็ออกจะงงๆ ตรวจด้วยตาแล้วบอกว่าไม่มีไร แต่ก็ส่งเข้าห้องเอ็กซ์เรย์เพื่อจะดูฟิล์ม ซึ่งเมื่อเห็นแล้วหมอก็บอกว่าปกติดีนี่ ก่อนจะสรุปว่ามันน่าจะเป็นเอฟเฟคท์ของการถอนฟันคุด -เอิ่ม ถอนไปจะครบปีแล้วนะคะเนี่ย
พอถามว่าวันจะเกี่ยวกับการนอนกัดฟันไหมคะ หมอก็ส่งเสียงถามไปที่เตียงหมายเลข 10 ว่าหมอจะรับคนไข้ไหม ปรากฏว่าเตียงนั้นตอบกลับมาว่าให้ส่งชาร์ตไป ดิฉันก๊อเลยต้องพบหมอกัดฟันจนได้ (เฮ้ออออออ หยอง) โดยต้องออกไปนั่งรอใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกพักใหญ่
4. การเอ็กซ์เรย์ฟันนั้นช่างมีหลายรูปแบบ ปีก่อนตอนจะผ่าฟันคุด โดนไป 2 แบบ คราวนี้โดนอีกแบบ เข้าใจว่ายังไม่จบเพราะเห็นโปสเตอร์หน้าห้องบอกว่ามีแบบ CT ด้วย
5. หมอกัดฟัน (รู้สึกว่าชื่อเฉพาะทางแบบเป็นทางการคือ "ข้อต่อและขากรรไกร") ชื่อคุณหมอพิชญา หน้าตาน่ารักมาก คุยไปก็หัวเราะไป เห็นหน้าหมอแล้วคิดว่าต้องใช่คนที่พี่ผึ้งบอกว่าเป็นลูกนางสาวไทยแน่ ก็กะไว้ในใจว่ามีโอกาสจะถาม
หมอถามว่ารู้ได้ไงว่าตัวเองนอนกัดฟัน ก็บอกว่ารู้สึก 3 พี่น้องจะนอนกัดฟันกันทั้งบ้าน
แล้วตอนนี้ยังกัดอยู่ไหมคะ-หมอถามอีก คำถามนี้ทำให้อึ้ง เพราะว่านอนคนเดียวมานานแล้ว
ว่าแล้วหมอดูฟันและมีความเห็นที่เป็นการมองต่างมุมกับคุณหมอที่ตรวจโอพีดีที่เจอคนแรก เพราะแค่ปราดเดียวก็ชี้ให้เห็นรอยสึกที่ฟัน แล้วอธิบายว่าถ้าปล่อยไปมันอาจทำให้ฟันแตก เห็นไหมคะมีรอยร้าวเป็นเส้นบางๆ ที่ฟันด้วย (โอย เครียดอีก) คุยๆ กันแล้วก๊อเลยตกลงว่าจะทำการรักษา โดยการพิมพ์ฟันเพื่อจะสร้าง "เฝือกฟัน" สวมครอบฟันบนเอาไว้ตอนนอน เพื่อเป็นกันชนไม่ให้ฟันเสียดสีกันเอง ถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงฟันยางของนักมวยดู นั่นหล่ะ มันจะเป็นอย่างนั้น แต่มันจะไม่ใช่ยาง น่าจะเป็นเรซิ่นนะ ถ้าจำไม่ผิด
6. ทีนี้ต่อไป ดิฉันก็จะต้องเรียนรู้ที่จะหลับโดยที่มีวัตถุแปลกปลอมอยู่ในปาก ซึ่งยังไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นอุปสรรคกับชีวิตรักไหม (ถ้าเกิดวันหน้ามีโอกาสจะมีชีวิตรักอ่ะนะ)
7. รู้ราคาเฝือกแล้วก็เป็นเครียดอีก เป็นเงิน 4,000 บาทจ่ะ แต่ให้แบ่งจ่ายได้ 2 ครั้ง วันนี้ก็เลยจ่ายไปทั้งสิ้น 2,080 บาท (หมอเค้าไม่ยักคิดค่าตรวจแฮะ) พอเล่าให้พี่ผึ้งฟังแล้วพี่ผึ้งบอกโรงบาลชั้นถูกกว่าอีก แค่สองพันแปดเอง (กรี๊ดดดดดดดดดดด) พอกรี๊ดเสร็จพี่ผึ้งก็บอก ทำที่นั่นแหละดีแล้ว ราคาเค้า reasonalble แล้วหมอก็เก่งเฉพาะทาง-เอ๊ะยังไงคะพี่
8. ได้พบว่าสิ่งที่น่าขยะแขยงกว่าการเอ็กซ์เรย์ฟันก็คือการพิมพ์ฟัน ดีที่เคยมาแล้ว ไม่อย่างนั้นวันนี้มีอ้วกใส่คุณหมอคนสวยแน่ เล่นโดนไปทั้งหมด 4 ครั้ง เพราะว่าคุณผู้ช่วยผสมวัสดุมาไม่ได้ส่วนตั้ง 2 ครั้ง นึกแล้วบึ๋ย!
9. พอพิมพ์ฟันมาราธอนเสร็จ (หมอปล่อยมุกว่าเห็นไหม ได้แถมตั้ง 2 ที-เอิ่ม หมอคะ เปลี่ยนเป็นแถมอย่างอื่นได้ป่าว) ก็ได้เวลาถามคุณหมอคนสวย
"หมอคะ คุณแม่หมอเป็นนางสาวไทยหรือเปล่าคะ" หมอก็อึ้งไปแป๊บ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะคิกๆ แบบผู้หญิงน่ารักว่า ไม่ใช่ค่ะๆ คุณแม่เป็นนางสาวไทยนั่นอาจารย์ (หมายถึงหมอ) อีกคนหนึ่ง
10. ทำน้องหน้าแหกเลยนะคะพี่ผึ้ง
ลืมเสนอประเด็นสำคัญไปว่า
ตอบลบไม่รู้เพราะโสดหรือเปล่า ถึงได้ประสาทแดกขนาดนี้
คือ ถ้าไม่โสดแล้ว บางทีอาจจะเปลี่ยนไปประสาทแดกกับเรื่องลูกเรื่องผัว เรื่องแม่ผัว เรื่องกิ๊กของผัว ฯลฯ เทือกนั้น (หรือป่าว?) แทนจะจมจ่อมอยู่แต่กับเรื่องของตัวเองแบบสาวโสดแบบเดิม
ตอนปลาอยู่เมลเบิร์นก็เริ่มบริจาคเลือดเมื่อต้นปี ทั้งที่อยากมานานแต่น้ำหนักไม่เคยถึงเลย หลังจากนั้นก็บริจาคทุกสามเดือน ไม่รู้ว่าบ่อยไปรึเปล่า
ตอบลบเมื่อคืน replyไปแล้วรอบนึง
ตอบลบแต่มันไม่ยอมsubmit
แปลกใจว่าทำไม อยู่ดีดีพี่ม้อยถึงสงสัยว่ามีอาการนี้เกิดขึ้น
ดูมันเป็นอาการที่ไม่ค่อย well known
ดีจังที่พิจารณาสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
ขอชื่นชม
เอิ่ม โอ๋ แกคงยังไม่เคยถอนฟันคุดสินะ
ตอบลบหมอเค้าเตือนไว้ก่อนแล้วว่าพอถอนออกไปแล้วมันจะมีไซด์เอฟเฟคท์ เช่นจะรู้สึกตื๊บๆ ตี๊ดๆ ตุบๆ หรืออาจจะเป็นแต่วๆ ตรงเส้นประสาทใกล้ๆ กับฟันซี่ที่เราเอาออกไปบ้าง ทั้งนี้ อาการ ต. ที่ว่ามาจะไม่รบกวนเรามากมายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือปวดจนต้องพึ่งยาแก้ปวด
หมอบอกว่าอาจเป็นอยู่สักพัก แล้วมันจะค่อยๆ ดีขึ้นมา แล้วก็จะหายไปเอง ในกรณีของชั้นก็น่าจะเป็นเยี่ยงนั้น (คืออาการที่ประสาท) แต่ไอ้ที่มันกลับมา ต. ใหม่เนี่ย อาจเป็นได้ว่ามาจากความเครียด
แกก็รู้ว่าคนเรามันเครียดโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว และความเครียดก็จะสำแดงเดชออกมาได้สารพัด เช่น ทำให้เมนส์ไม่มา ผมร่วง ปวดเกร็งในช่องท้อง (ชั้นเคยเป็นหลังจากถอนฟันคุดครบ 4 ซี่(แกก็รู้ว่าชั้นกลัวหมอฟันขึ้นสมอง)-ตอนแรกตกใจมาก คิดว่าเป็นกระเพาะ เพราะเกิดมายังไม่เคยปวดกระเพาะเท่านี้มาก่อนแต่พี่นิกบอกว่าอาจเป็นเครียด(สะสม)ลงกระเพาะ-แกเคยเป็น) และอาจจะเป็นมากจนทำให้เป็นบ้าเป็นบอไป
ในกรณีนี้ชั้นมองว่า มีอาการ ต. ที่ประสาทฟันยังนับว่าดีกว่าบ้าเสียสติไปมากนักนะแก
ชั้นไม่เป็นไรหรอก เสียเงินไปสองพันกว่าบาท สบายจัย (ฮือ-ฮือ)
ป.ล. ชั้นไม่ใช่คนช่างสังเกตสังกาไรหรอก เรียกว่าเป็นคนประสาท+ขี้วิตกกังวลน่าจะเหมาะสมกว่า
หนูปลาคะ พี่รู้สึกว่าเค้าจะเอาเลือดของเราไปตามน้ำหนักของเรา
ตอบลบอย่างที่กาชาดเค้าใช้ถุงขนาด 350 ซีซี สำหรับสตรีหนัก 45 กก.ขึ้นไป แต่ถ้าวันไหนถุงหมด ต้องใช้ขนาด 450 ซีซี คนที่จะให้ได้ก็ต้องเป็นผู้ชาย หรือสตรีที่หนัก 50 กก. ขึ้นไปเท่านั้น
แล้วก็ถ้าใช้ถุงไซส์ของกาชาดนี่จะสามารถให้ได้อีกในอีก 3 เดือนถัดไป แต่ไม่ควรให้ระหว่างรอบเดือน เพราะมันจะทำให้รอบเดือนหยุด
ส่วนที่ศิริราช เค้าฮาร์ดคอร์กว่านี้ ถุงของเค้าจะใหญ่กว่ากาชาด แต่พี่ไม่ทราบขนาดนะ รู้แต่ว่าที่นั่นเค้าต้องทิ้งระยะการให้เลือดถึง 6 เดือน พี่ก็เลยยังไม่มีประสบการณ์การบริจาคที่ศิริราชเสียที เพราะเคยไปหลังจากให้ที่กาชาดมา 4 เดือนแล้วคุณพยาบาลเธอยังไม่รับเลือดน่ะค่ะ
ถ้าคุณน้องอยากอ่านเรื่องราวที่ได้สาระ ไม่สะเปะสะปะแบบพี่ตอบ ลองแวะเข้าไปในเว็บของกาชาดนะคะhttp://www.redcross.or.th
เหมือนกำลังอ่าน บริดเจท โจนส์ ไดอารี่เลยครับ :-D
ตอบลบฮ่า
ตอบลบเข้าเค้านะ
โสด+อ้วน
นี่ก็ใกล้จะคริสมาสต์+ปีใหม่แล้วด้วย
.....หวาย แต่บริดเจ็ดเค้ามีพระเอกนี่นา
คุณกลับสู่ใบกระเพรา คุณถ่ายรูปขาวดำเก่งจังนะ
ทำไมอยู่ดีๆ ถึงไปหาหมอได้วยอาการนี้คะ
ตอบลบดูเป็นอาการที่ไม่ค่อยได้ยินว่าใครเป็น
หรืออาจเป็นแต่ไม่ไปหาหมอ
พี่ม้อยดูเป็นคนดแลตัวเองดีจัง
แก
ตอบลบชั้นมันแค่สาวโสดประสาทแดกเท่านั้นเอง
ไม่ใช่คนดูแลตัวเองดีอะไรหรอก
อะนะ เค้าก็โดนทำเฝือกสบฟันเหมือนกันอะ .. เนี่ยยังเซ็งอยู่เลย ราคาก็แพงพอสมควร นะ แถมยังต้องไปหาหมอเพื่อดูเฝือกอีกเป็นระยะ แรกๆ ก็ต้องไปบ่อยๆ ไปทีนึงก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน T T ใครใช้ให้เครียดฟะ ... ตอนไปหาหมอ หมอก็ถามเหมือนกันว่า "ทำไมรู้" พ้อนตอบว่า "ตื่นมาแล้วมันเมื่อยอะค่ะ" (- -")
ตอบลบแถมอีกนิด ... ทำไมถึงกลัวหมอฟันล่ะ ?? เกือบลืม ตอนพิมพ์ฟันครั้งแรก วัสดุพิมพ์มันหล่นปุ๊ลงบนหน้าอกเล็กๆ ของเราด้วยล่ะ (ผู้ช่วยทำเหลวไปหน่อย แล้วก็เยอะด้วย) หมอเลยบอกว่า มาขนาดนี้พิมพ์ติดลิ้นไก่พอดี (ฮากลิ้งเลยอะ)
ตอบลบกรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ตอบลบพ้อนน้องรัก
นอกจากดีเอ็นเอที่บอกว่าเราเป็นญาติกันแล้ว
พฤติกรรมนอนกัดฟันนี่อาจจะเป็นไอเดนติตี้ของโคตรเหง้าศักราชทางบิดรของชั้น (ซึ่งก็รวมแกด้วย) ได้เหมือนกันนะพ้อน
เพราะจะบอกว่าที่บ้านชั้นดูจะมีคนนอนไม่กัดฟันเพียงคนเดียว ก็คือแม่
ดีใจจังที่พ้อนก็ใส่เฝือกกัดฟันเหมือนเจ๋
ฮ่าฮ่า
สองพี่น้องเฝือกกัดฟัน
we are family! ของแท้ว่ะ
สิ่งที่ทำให้กลัวหมอฟันคงเป็นเครืองกรอฟันน่ะ สรุปแบบกำปั้นทุบดินก็คงจะบอกได้ว่าเพราะชั้นเป็นคนใจเสาะนั่นเอง
คือจริงๆ แล้วเจ๋เป็นเด็กฟันดีนะ ดีกว่าน้องชายอีก 2 คน ตอนเด็กๆ ไม่มีผุเลย แต่สักตอนม.2 ม.3 ขวดโค้กทำฟันบิ่น ก็เลยต้องไปอุด นั่นเป็นครั้งแรกที่เจอเครื่องกรอฟัน และได้พบว่าชั้นเกลียดกลัวการนำวัตถุที่ไม่ควรนำเข้าไปไปในปาก-เข้าไปในปากมากถึงมากที่สุด
ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกรอฟัน อุดฟันก็แทบจะอาน เหงื่อเย็นเชียวหล่ะ อีตอนผ่าฟันคุดน่ะซิแก ชั้นทำใจอยู่ 1 ปีจริงๆ นะ ซี่แรกนั่นเกือบอ้วกใส่หมอด้วย (จะเป็นคนไข้คนแรกที่อ้วกใส่หมอเลยล่ะ)
จริงๆ แล้วชั้นน่ะ ค่อนข้างมาโซ ขนาดเข็มฉีดยาหรือเข็มเจาะเลือกอันบะเอ้บชั้นยังมองได้อย่างสะใจ แต่เรื่องทำฟันนี่ขอเวลาทำใจสักสัปดาห์ได้ป่าว
อีตอนพิมพ์ฟันคราวนี้ไอของเหลวนั่นก็ไหลลามเข้าไปถึงลิ้นไก่เหมือนกัน
ขยะแขยงพิลึกส์ (พี่ผึ้ง-ซึ่งเป็นหมอฟันที่ชั้นสัญญากับตัวเองว่าชาตินี้จะไม่ไปทำกะแกเด็ดขาด-เพราะกลัวมาก บอกว่าการเทคนิคพิมพ์ฟันนี่เป็นไรที่ปราบเซียนมากนะ)
ว่าแต่พ้อนไปหาหมอที่ไหนหรอ ท่าทางมีมุกดีนะ
ง่ะ ... เค้าไปที่รพ.เปาโล ... แต่อ่านไป 5-6 บรรทัดแรกนี้ข้าน้อยขำกลิ้งเลยอะ - -*
ตอบลบทีนี้เรามาลองนึกดูนะเจ๋ ว่าเวลาไปค้างต่างจังหวัดกับเพื่อน แล้วเราใส่เฝือกสบฟันงี้ ... สมมติว่าเรากำลังเหนื่อยมาก นอนหลับอ้าปาก (ทั้งที่ปกติควรจะปิดปากกัดฟันของเราไปอย่างเมามันใช่มะ) .. คนที่นอนข้างๆ หันมาเห็นเค้าคงจะรู้สึกดี ที่เห็นฟันเราเป็นสีชมพู ... ^ ^
พ้อนจัง ตอนนอนกับเพื่อนเพศเดียวกันเจ๋คงไม่แคร์ไรเท่าไหร่หรอก
ตอบลบแค่เกรงว่าถ้าวันนึงมีเพื่อนนอนต่างเพศ เฝือกสบฟันจะสร้างปัญหาให้ชีวิตรักมากกว่า (ฮิๆ)
ว่าแต่มันจะเป็นสีชมพูหรอ คิดว่าจะเป็นสีดำเหมือนฟันยางซะอีก
ว่าแต่พ้อนใส่มานานแล้วหรอ มันเจ็บไหมตอนใส่แรกๆ
ที่เปาโลทำแพงป่าว?
หายเครียดหรือยัง
ตอบลบดีขึ้น-ดีขึ้น
ตอบลบตอนนี้กำลังเครียดกับเฟสต่อไปของชีวิต คือ แก่ เจ็บ และตาย
เหอ เหอ
หุหุ
ตอบลบพิจารณาธรรมนะสหาย
อิทัปปัจจยตา หรือ
ตถตา = เช่นนั้นเอง
อวิตถตา = ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อนัญญถตา = ไม่เป็นไปโดยประการอื่น
ธัมมัฏฐิตตา = ตั้งอยู่ตามกฎธรรมดา
ธัมมนิยามตา = เป็นกฎตายตัวตามธรรมดา
ดั่งนี้แล้วสหายจะไม่เครียด
....ยิ่งเครียดใหญ่
ตอบลบ