วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

คิดถึงกาแฟ [รำพึง-รำพัน]



ช่วงนี้กำลังเลิกกาแฟ

ไม่ได้แตะมาตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว วันนี้วันอาทิตย์ จึงนับว่าเป็นวันที่ ๗ แล้วที่อยู่โดยไม่ได้ดื่มกาแฟ

ที่จะเลิก ไม่ใช่เพราะหนูดีทักว่า เราไม่กินของไหม้เพราะกลัวเป็นมะเร็ง แต่ทำไมเราไม่กลัวกาแฟ ทั้งๆ ที่ี่กว่าจะกินได้ต้องนำเมล็ดไปคั่วซะก่อน (ยิ่งไหม้ ยิ่งหอมซะด้วย)

ไม่ใช่เพราะว่ากาแฟมันแพง เพราะออฟฟิศก็มีให้กินฟรี และถึงจะเป็นเนสกาแฟเรดคัพก็กินได้

ทั้งยังไม่ใช่เพราะอาการนอนไม่หลับ
กาแฟวันละแก้วสองแก้ว ไม่น่าเป็นอุปสรรคในการนอนของคนรักการนอนอย่างดิฉัน แค่คาเฟอีนที่ตกค้างในกระแสดเลือดไม่น่าเพียงพอจะทำให้ตื่นก่อนเวลาอันควรได้เท่ากับความวุ่นวายในใจ
(แต่หยุดกาแฟแล้วก็นอนได้นานขึ้นจริงๆ)

นอกจากนี้ยังไม่เคยโด๊ปกาแฟจนหัวใจเต้นแรงหวิดเป็นลม

แล้วจะเลิกทำไม?

ก็แค่คิดว่า เราชักจะ "ติด" มากไปแล้ว น่ะสิ

เช้าตื่นขึ้นมา ง่วงไม่ง่วงก็ต้องชงกาแฟ มาถึงออฟฟิศ เปิดเครื่องเรียบร้อย ก่อนเปิดไฟล์ทำงาน ก็ขอกาแฟสักแก้ว ตกบ่าย หลังอิ่มอาหาร ก็บอกตัวเองว่ากาแฟช่วยให้อาหารย่อยได้ดีขึ้น แถมยังช่วยแก้อาการหนังท้องตึง-หนังตาหย่อนได้อีก

ทำไมชีวิตชั้นต้องพึ่งพิงเครื่องดื่มสีดำที่ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าความร้อน ความหอม และความขม (บางกรณียังแพงอีกตะหาก)?
ถามตัวเองเสร็จ เช้าวันจันทร์ก็เลิกชงกาแฟ หันมาซื้อน้ำเต้าหู้ใส่กระติกไปจิบแทน ร้อนเหมือนกัน หอมเหมือนกัน รสชาติก็ดีไปอีกแบบ แต่สีนี่สิ ต่างกับกาแฟ ราวเทพกับมาร

ก็ดำเนินชีวิตมาได้โดยปวดหัวเพราะขาดคาเฟอีนอยู่สักวันครึ่ง อยู่มาได้เรื่อยๆ โดยการปลอบตัวเองว่ากินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย

กินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย
กินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย
กินกาแฟแล้วหน้าเหี่ยว กินน้ำเต้าหู้แล้วสวย

ไร้อาการทางกาย แต่แทนที่จะลืมๆ ไป แต่กลับคิดถึงกาแฟจัง
คิดถึงกลิ่นหอมยั่วยวน รสชาติอันแสนจะขมขื่นยิ่งกว่าบางช่วงของชีวิต
สัมผัสที่มือยามโอบรอบกาแฟแก้วโต
ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาปะทะจมูก

ไม่รู้สมองเบลอเพราะขาดคาเฟอีนหรือเปล่า
เริ่มจากแรก แค่คิดถึงสัมผัสจากกาแฟ
คิดไปคิดมา คิดไปคิดมา

ดันไปคิดถึงฉากฉากหนึ่ง

คนสองคนเพิ่งตื่นจากการนอนอันแสนสุข
นั่งอยู่เคียงข้างกันบนม้านั่งที่ดัดแปลงจากล้อเกวียนเก่า
เบื้องหน้าคือทุ่งหญ้าสีเขียวระบัดเพราะได้ฝน
อากาศยามเช้าสดใส น้ำค้างยังเ้อ้อระเหย ลมพัดแผ่วเบา
จมูกยังคงจำกลิ่นเล็บมือนางที่ลมพาผ่านหน้าต่างห้องนอนเมื่อคืนนี้
บทสนทนาอ่อนหวาน
และ...รสชาติกาแฟขม เข้มข้นที่เขาชงให้
กาแฟที่ไม่อาจหารสชาติแบบเดียวกันได้อีก
อ้อมกอดที่ไม่เคยมีใครทำให้รู้สึกอิ่มแบบนั้นได้อีก


เอ่อ....
แปลกดีที่แค่คิดถึงกาแฟ ก็พาลไปคิดถึงความหลัง

ถ้าใจยังถวิลหาความเคยชินเก่าๆ อย่างนี้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตบะแตกตอนไหน

ไม่ได้แล้ว
ต้องแยกความทรงจำเกี่ยวกับกาแฟออกจากความหลัง
ไม่งั้นแย่ชีวิตคงรีไวด์กลับไปในวันที่ 'แย่' กว่าติดกาแฟงอมแงมเป็นแน่

11 ความคิดเห็น:

  1. คิดถึงคนชงกาแฟอะ ฮี๊วววววว

    ตอบลบ
  2. ฮิ้ววววววววววววว
    ด้วย

    ตอบลบ
  3. จะสวยแล้วนิ
    กิน คู่ ปาท่ิองโก๋ นะ
    มันเข้ากัน

    ตอบลบ
  4. ติดกาแฟ..ฟังดูไม่ค่อยหนัก
    แต่อาการติดรัก...ยังหนักโขอยู่นะน้อง

    ตอบลบ
  5. พี่หนุ่ม สำนวนอย่างนี้ ยังได้อีกมั๊ย

    ตอบลบ
  6. ติดรัก
    ดีกว่าติดผู้ชายป่าว พี่หนุ่ม?

    ป.ล. แต่ม้อยว่า ติดผู้ชายดีกว่าติดยาดมนาพี่
    เหอ เหอ

    ตอบลบ
  7. ของทุกอย่าง กินแต่พอดี มีประโยชน์
    เกินพอดี ก็มีแต่โทษ

    ทางการแพทย์ ทั้งแผนปัจจุบัน และ แผนโบราณ
    มาการนำ คาร์บอน หรือ ผงถ่าน มาเป็นยาทั้งนั้น
    เช่น การดูดซับของเสีย ดับกลิ่น

    ดังนั้น หากมอง กาแฟคั่ว ส่วนที่ไหม้ เป็น คาร์บอน
    กินไม่มากเกินพอดี ก็ไม่น่าจะมีพิษภัย อันตราย ชิมิ
    ยิ่งถ้าเป็น แบบ อัลคาไลน์ ก็จะทำงานได้นานกว่า ปกติ ถึง 7 เท่า
    ถ้าคิดถึงสิ่งแวดล้อม ก้อ ใช้แบบ ประจุไฟใหม่ได้ สามารถนำกลับมาใช้
    ซ้ำ ได้ ถึง 10 000 ครั้ง ช่วยลดปริมาณขยะ และ ลดโลกร้อน ได้อีกทางหนึ่ง

    เอ ขึ้นต้นเป็นหน่อไม้ โตไป ๆ ไหงเป็นต้นกล้วยได้หว่า

    ตอบลบ
  8. โอเคนุ

    จะชงกาแฟเดี๋ยวนี้หล่ะ

    (ชีวิตชั้นมันเหี่ยวเฉาเพราะว่าขาดคาเฟอีนนี่เอง!)

    ตอบลบ
  9. นุ ไอ้ส่วนที่ไหม้นั่น เค้าเรียกออกซิเดชั่นของกาแฟป่าว?

    ถ้าใช่ เราจะกินทำไม ถ้าทุกวันนี้ขวนขวายหากินพวกแอนติ-ออกซิแดนท์กันจะแย่อยู่แล้ว

    ตอบลบ
  10. ดื่มไม่เคยได้เลยกาแฟ หัวใจไม่รับ
    เคยหัดดื่มตอนเรียนมหาลัย แต่ดื่มทีไรบีบหัวใจทุกที เลยเลิก

    ตอบลบ